การเลือกใช้บริการติดตั้งโซล่าเซลล์ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
-
- ตรวจสอบประวัติและประสบการณ์ของบริษัทผู้ติดตั้ง เช่น ผลงานที่ผ่านมา ความเชี่ยวชาญในงานติดตั้งโซล่าเซลล์
- เลือกบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตหรือการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) หรือมาตรฐาน ISO
- คุณภาพของอุปกรณ์
-
- เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและได้รับมาตรฐาน เช่น แผงโซล่าเซลล์มาตรฐาน TIS หรือ IEC 61215
- ตรวจสอบรายละเอียดของอินเวอร์เตอร์ (Inverter) และแบตเตอรี่ (หากมี) ว่ามีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับระบบ
- การออกแบบระบบที่เหมาะสม
-
- ควรให้ผู้ให้บริการทำการสำรวจหน้างานและออกแบบระบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ขนาดพื้นที่ การรับแสงแดด และการใช้พลังงานในบ้านหรืออาคาร
- การคำนวณค่าใช้จ่ายและกำลังผลิตไฟฟ้าควรมีความชัดเจน
- งบประมาณและการคืนทุน
-
- เปรียบเทียบราคาบริการจากหลายบริษัท และตรวจสอบรายละเอียดของบริการที่ได้รับ เช่น รับประกันสินค้าและการติดตั้ง
- ประเมินระยะเวลาการคืนทุน (Payback Period) เพื่อดูความคุ้มค่าในระยะยาว
- การรับประกันสินค้าและบริการ
-
- ตรวจสอบระยะเวลาการรับประกันแผงโซล่าเซลล์ (10-25 ปี) และอินเวอร์เตอร์ (5-10 ปี)
- มีการรับประกันงานติดตั้งและบริการหลังการขาย เช่น การบำรุงรักษาและการซ่อมแซม
- ทีมงานติดตั้งที่มีคุณภาพ
-
- ทีมงานควรมีความเชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรมด้านการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์
- การติดตั้งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการเดินระบบไฟฟ้าให้ถูกต้องตามมาตรฐาน
- การขอใบอนุญาต
-
- บริษัทควรมีบริการช่วยดำเนินการขอใบอนุญาตติดตั้งโซล่าเซลล์และการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
- รีวิวและคำแนะนำจากลูกค้า
-
- ศึกษาความเห็นและรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของงานและบริการ
- ความยืดหยุ่นของบริการ
-
- บริการที่ครอบคลุมทั้งการสำรวจ ออกแบบ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย
- มีตัวเลือกในการชำระเงิน เช่น การผ่อนชำระ หรือโปรแกรมสนับสนุนการลงทุน
- นโยบายพลังงานในพื้นที่
-
- ศึกษาสิทธิประโยชน์หรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น โครงการภาครัฐที่สนับสนุนพลังงานทดแทน
การคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้ระบบโซล่าเซลล์ที่มีคุณภาพ คุ้มค่า และเหมาะสมกับความต้องการในระยะยาว